top of page
ค้นหา

เข้าใจการวินิจฉัยโรค FIP: คำแนะนำง่าย ๆ จากสัตวแพทย์

โรคเยื่อบุช่องท้องอักเสบจากเชื้อไวรัสในแมว (FIP) เป็นโรคที่รุนแรงในแมว และการวินิจฉัยว่าแมวเป็นโรคนี้หรือไม่นั้นอาจเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

การวินิจฉัยโรค FIP เป็นอย่างไร

ไม่มีการทดสอบใดที่สามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าเป็น FIP หรือไม่ แต่สัตวแพทย์จะต้องวิเคราะห์จากอาการ ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ และบางครั้งต้องใช้เครื่องมือวินิจฉัยขั้นสูงหรือการวิเคราะห์เนื้อเยื่อ

หากคุณอยากรู้ว่าสัตวแพทย์วินิจฉัย FIP อย่างไร ทีมงาน Basmi FIP Thailand ได้รวบรวมคำอธิบายที่เข้าใจง่ายไว้ให้แล้วในบทความนี้

ทำไมการวินิจฉัย FIP ถึงยากนัก

FIP มักแสดงอาการคล้ายโรคอื่น โดยเฉพาะในระยะแรก เช่น มีไข้ น้ำหนักลด และอ่อนเพลีย ซึ่งล้วนเป็นอาการทั่วไปที่อาจเกิดจากโรคอื่นได้เช่นกัน

นอกจากนี้ FIP ยังมีถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ แบบเปียก แบบแห้ง แบบที่แสดงอาการทางตา และแบบที่มีผลต่อระบบประสาท ซึ่งแต่ละแบบจะมีลักษณะต่างกัน ทำให้การวินิจฉัยยิ่งสับสน จำเป็นต้องมีการทดสอบหลายอย่างและการวิเคราะห์อย่างละเอียด

การทดสอบ 4 ประเภทที่ช่วยวินิจฉัย FIP ในแมว

การสังเกตอาการและลักษณะที่เปลี่ยนไปของแมวเป็นขั้นตอนแรก แต่เพื่อให้แน่ชัดยิ่งขึ้น สัตวแพทย์มักใช้การทดสอบเพิ่มเติม ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้

  1. การตรวจเลือด: สัญญาณเบื้องต้น

ขั้นตอนแรกที่พบได้บ่อยที่สุดคือ การตรวจเลือดแบบสมบูรณ์ (CBC) และตรวจเคมีในเลือด เพื่อดูภาพรวมของสุขภาพแมว และสังเกตความผิดปกติที่อาจเป็นสัญญาณของ FIP

ตัวอย่างผลเลือดที่บ่งชี้ความเสี่ยงของ FIP ได้แก่

  • อัลบูมินต่ำ (โปรตีนชนิดหนึ่งในเลือด)

  • โกลบูลินสูง (โปรตีนอีกชนิดที่มักเพิ่มขึ้นเมื่อมีการอักเสบ)

  • ภาวะโลหิตจาง (จำนวนเม็ดเลือดแดงต่ำ อาจทำให้แมวอ่อนแรง)

  • เม็ดเลือดขาวสูง (บ่งบอกว่ามีการติดเชื้อหรืออักเสบ)

  • อัตราส่วน A/G ต่ำ (อัลบูมินหารด้วยโกลบูลิน)

หากอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 0.5 จะยิ่งเพิ่มความสงสัยว่าแมวอาจเป็น FIP

แม้ผลเลือดเหล่านี้จะไม่สามารถยืนยัน FIP ได้โดยตรง แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้สัตวแพทย์ตัดสินใจว่าควรตรวจเพิ่มเติมหรือไม่

  1. การทดสอบเฉพาะ: การทดสอบ Rivalta

หากแมวของคุณมีของเหลวสะสมในช่องท้องหรือหน้าอก (อาการเด่นของ FIP แบบเปียก) สัตวแพทย์อาจนำตัวอย่างของเหลวไปทำ การทดสอบ Rivalta

การทดสอบนี้ใช้เพื่อแยกว่า ของเหลวนั้นเกิดจากการอักเสบ (เช่น FIP) หรือเกิดจากโรคอื่น เช่น โรคหัวใจ

  • หากผล Rivalta เป็นบวก แสดงว่าอาจเป็น FIP

  • หากผล Rivalta เป็นลบ ความเป็นไปได้ของ FIP จะน้อยลง แต่ไม่สามารถตัดทิ้งได้ทั้งหมด


  1. การถ่ายภาพ: เอกซเรย์และอัลตราซาวด์

หากแมวไม่มีอาการชัดเจนของ FIP แบบเปียก เช่น หน้าท้องโตจากของเหลว สัตวแพทย์อาจแนะนำให้ทำการถ่ายภาพ เช่น เอกซเรย์ หรือ อัลตราซาวด์

เครื่องมือเหล่านี้ช่วยในการ

  • ตรวจสอบของเหลวที่ซ่อนอยู่ภายใน

  • ดูว่ามีการขยายของอวัยวะภายใน เช่น ตับ ไต หรือ ต่อมน้ำเหลืองหรือไม่

  • ตรวจหาการอักเสบในช่องท้องหรือหน้าอก

การถ่ายภาพมีประโยชน์อย่างมากในกรณี FIP แบบแห้ง ที่มีอาการไม่ชัดเจน

  1. การตรวจยืนยัน: การตัดชิ้นเนื้อ, IHC และ PCR

หากต้องการยืนยันว่าเป็น FIP จริง สัตวแพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อจากอวัยวะหรือต่อมน้ำเหลืองเพื่อส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ

ที่ห้องแล็บจะใช้เทคนิค IHC (Immunohistochemistry) เพื่อตรวจหาเชื้อไวรัส FIP โดยตรงในเซลล์เนื้อเยื่อ

อย่างไรก็ตาม การตัดชิ้นเนื้อมีข้อจำกัด เช่น

  • ต้องใช้ยาสลบ

  • ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

  • ใช้เวลารอผลนาน

ด้วยเหตุนี้ การตรวจแบบนี้จึงไม่ใช่ทางเลือกแรก หากไม่จำเป็น สัตวแพทย์มักใช้ข้อมูลจากหลายการตรวจร่วมกันกับอาการของแมว

อีกวิธีหนึ่งคือ PCR test ซึ่งใช้ตรวจสารพันธุกรรมของไวรัส FCoV จากของเหลวหรือเนื้อเยื่อ หากตรวจพบสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ซึ่งเกี่ยวข้องกับ FIP จะมีความแม่นยำมากขึ้น

แต่อย่างไรก็ตาม การตรวจนี้ก็ยังไม่สมบูรณ์แบบ เพราะแมวที่สุขภาพดีหลายตัวก็สามารถมีเชื้อ FCoV ได้อยู่แล้ว ดังนั้นผลบวกของ PCR ไม่ได้หมายความว่าแมวเป็น FIP เสมอไป

นี่จึงเป็นเหตุผลที่สัตวแพทย์ต้องพิจารณาผลตรวจร่วมกับอาการและประวัติสุขภาพของแมว เพื่อวินิจฉัยอย่างถูกต้อง

ความท้าทายในคลินิกชนบทและคลินิกในเมือง

ความแม่นยำในการวินิจฉัย FIP ขึ้นอยู่กับเครื่องมือและทรัพยากรที่มี ในเมืองใหญ่ การเข้าถึงห้องแล็บ การตรวจ PCR และ IHC ทำได้ง่ายกว่า จึงสามารถวินิจฉัยได้แม่นยำกว่า

แต่ในคลินิกชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลในประเทศไทย มักเผชิญปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ บุคลากร และงบประมาณ ทำให้หลายคลินิกอาศัยแค่การสังเกตอาการและผลตรวจพื้นฐาน ซึ่งเสี่ยงต่อการวินิจฉัยผิดพลาดได้

ความสำคัญของการแยกโรคอื่นๆ ออกไป

FIP มีลักษณะคล้ายกับโรคอื่นๆ เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในแมว (FIV) ทอกโซพลาสโมซิส และลิวคีเมียในแมว (FeLV)

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแยกโรคเหล่านี้ออกก่อน เพื่อไม่ให้วินิจฉัยผิด สัตวแพทย์มักแนะนำให้ทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น ตรวจ FeLV/FIV, เอกซเรย์ หรืออัลตราซาวด์ เพื่อความแม่นยำยิ่งขึ้น

สรุปส่งท้าย

FIP เป็นโรคที่ซับซ้อนและแสดงอาการคล้ายกับหลายโรค จึงต้องอาศัยการผสมผสานระหว่างผลการทดสอบ อาการทางคลินิก และประวัติของแมวในการวินิจฉัยที่แม่นยำ

โชคดีที่ทุกวันนี้ แมวที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น FIP สามารถรักษาได้ด้วย GS-441524 ซึ่งช่วยยับยั้งการแพร่ของไวรัสและให้โอกาสในการฟื้นตัวได้จริง

หากคุณสงสัยว่าแมวของคุณอาจเป็น FIP อย่าเพิ่งหมดหวัง คุณสามารถติดต่อทีมงาน Basmi FIP Thailand ผ่าน LINE เพื่อขอคำแนะนำเรื่องปริมาณยาและการดูแลที่เหมาะสมตลอดการรักษา

 
 
 

Comments


bottom of page